นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร

ชื่อสามัญ: White-eyed River Martin
ชื่อวิทยาศาสตร์: Pseudochelidon sirintarae Thonglongya, 1968

ความเป็นมา:
ผู้ค้นพบนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร คือ นายกิตติ ทองลงยา นักชีววิทยาแห่งสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ผู้ร่วมทำการศึกษาเรื่องโครงการการอพยพย้ายถิ่นทางพยาธิวิทยาของนกในเอเชียตะวันออก (Migrating Animal Pathological Survey – MAPS) ร่วมกับนักปักษีวิทยาจากประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์และไทย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะศึกษาเส้นทางอพยพของนก ซึ่งเป็นพาหะของเชื้อโรคและตัวเบียฬ (parasites) ซึ่งอาจมีผลต่อสุขภาพของมนุษย์ การรู้เส้นทางอพยพของนกสามารถช่วยในการวางแผนป้องกันและปราบปรามโรคเหล่านี้ได้

การศึกษาการอพยพย้ายถิ่นทางพยาธิวิทยานั้น จำเป็นต้องออกไปศึกษาในธรรมชาติที่แท้จริง โดยการจับนกเป็นๆ มาเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อโรค แล้วนำไปตรวจหาตัวเบียฬ จำพวกเห็บ ไร และหมัด ฯลฯ จากนั้นจึงสวมกำไล ซึ่งทำด้วยแผ่นอะลูมิเนียมแบนๆ มีหมายเลขและสถานที่สำหรับติดต่อไว้ที่ข้อเท้าของนก แล้วปล่อยนกไป ซึ่งถ้าหากมีผู้จับนกได้ในภายหลัง ก็อาจรายงานให้ผู้ปล่อยนกทราบได้ โดยวิธีการนี้ เราก็สามารถทราบเส้นทาง ระยะทาง และระยะเวลาการอพยพของนกแต่ละชนิดได้

จากการทำงานในโครงการนี้ ทำให้นายกิตติทราบว่า ในช่วงฤดูหนาวของทุกๆ ปี จะมีนกหลายชนิดที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศทางตอนเหนือของประเทศไทย เช่น ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซีย ไซบีเรีย เป็นต้น พากันอพยพหนีอากาศหนาวลงมายังประเทศไทย และประเทศใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก และในบรรดานกที่อพยพเข้ามานั้น นกนางแอ่นบ้าน (Hirundorustica) จัดเป็นนกที่อพยพเข้ามามากที่สุด ปีละหลายแสนตัว นกเหล่านี้จะอาศัยนอนเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ตามสายไฟฟ้า และต้นไม้บนถนนเยาวราช ถนนเจริญกรุง ถนนสีลม และตามเมืองใหญ่ๆ อีกหลายจังหวัด รวมทั้งแหล่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ที่นี่เอง เป็นต้นตำนานของการค้นพบนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร

การค้นพบครั้งแรก:
เมื่อต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2511 นายกิตติและคณะ ได้เดินทางไปทำงานในโครงการฯ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยการจับนกมาใส่กำไลขาแล้วปล่อยไป ไล่ลงมาจนถึงจังหวัดนครสวรรค์ ที่นี่เขาได้หยุดพักเพื่อทำงานต่อ โดยการรับซื้อนกจากชาวบ้านที่จับนกจากบึงบอระเพ็ด ในวันที่ 28 มกราคม ปีเดียวกันชาวบ้านได้นำนกมาขายให้ มีนกหลายชนิดปะปนกันอยู่ ได้แก่ นกนางแอ่นบ้าน นกนางแอ่นตะโพกแดง นกนางแอ่นสร้อยคอดำ และนกขนาดเล็กอื่นๆ เช่น นกเด้าลม นกอุ้มบาตร ฯลฯ นกเหล่านี้มักจะเกาะนอนรวมกันอยู่ตามกอหญ้า กอพงในบึงบอระเพ็ด

ในบรรดานกทั้งหมดที่ชาวบ้านจับมาขายนั้น มีนกนางแอ่นมากที่สุด และจากนกนางแอ่นที่ได้แยกมาไว้ในกรงต่างหากประมาณ 700 ตัวนั้น นายกิตติ ได้สังเกตพบว่า มีนกตัวหนึ่ง มีลักษณะแตกต่างจากนกนางแอ่นทั่วๆ ไป ที่ชอบเกาะอยู่ตามคอน และไม่ชอบอยู่นิ่งๆ จะกระโดดไปมาอยู่ตลอดเวลา แต่นกตัวที่พบใหม่นี้ มีขนาดใหญ่กว่านกนางแอ่นทั่วๆ ไป อย่างเห็นได้ชัด มักเกาะนิ่งๆ อยู่บนพื้นมุมหนึ่งของกรง ไม่กระโดดโลดเต้นเหมือนนกนางแอ่นอื่นๆ และในวันต่อมา ก็มีผู้จับนกชนิดนี้มาอีก 1 ตัว นายกิตติจึงได้ทำการถ่ายภาพและสตั๊ฟนกทั้ง 2 ตัวเก็บไว้ และพบว่านกทั้ง 2 ตัวนี้ เป็นนกตัวผู้วัยอ่อน ยังไม่มีแกนหางยื่นยาวออกมา

นายกิตติได้นำนกสตั๊ฟทั้ง 2 ตัวนี้กลับมาที่สถาบัน ฯ หลังจากที่ได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านสัตววิทยา และปักษีวิทยาที่พำนักอยู่ในประเทศไทย อาทิ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล Dr. H.E. McClure หัวหน้าโครงการ MAPS Dr. Joe T. Marshall จาก SEATO Medical Research Laboratory แล้วสรุปได้ว่า ทั้ง 3 ท่านนี้ไม่เคยเห็น และไม่เคยรู้จักนกชนิดนี้มาก่อน เพื่อความมั่นใจ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปีเดียวกันนั้น นายกิตติจึงได้ย้อนกลับไปที่บึงบอระเพ็ดอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาได้นกชนิดใหม่นี้เพิ่มมาอีก 8 ตัว มีทั้งนกตัวผู้ นกตัวเมีย ทั้งหมดเป็นนกที่โตเต็มวัยแล้ว สังเกตได้จากมีแกนหางเล็กๆ ยื่นยาวออกมา

การตรวจสอบทางด้านอนุกรมวิธาน:
นายกิตติได้ส่งตัวอย่างเหาที่ได้จากนกชนิดนี้ไปให้ Dr. K.C. Emerson แห่ง Smithsonian Institute สหรัฐอเมริกา ขอให้ตรวจสอบชนิดของเหาเหล่านั้น เนื่องจากเหาแต่ละชนิดที่พบจะแสดงถึงความเกี่ยวพันระหว่างสัตว์ในแต่ละกลุ่ม และทำให้พอจะอนุมานได้ว่า สัตว์ตัวนั้นควรจะเป็นสัตว์ในกลุ่มใด Dr. K.C. Emerson ได้แจ้งกลับมาว่า เหาที่ส่งไปให้ตรวจสอบนั้น มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ Myrsidae sp. ซึ่งพบได้ในนกนางแอ่นทั่วๆ ไป และ Philopterus exisus เป็นเหาที่พบได้ในนกนางแอ่นพันธุ์หนึ่งในสกุล (genus) Pseudochelidon

Professor J.L. Peter ได้แบ่งวงศ์ของนกนางแอ่น (Hirundinidae) ไว้ในหนังสือ Checklist of Birds of the World ออกเป็น 2 วงศ์ย่อย คือวงศ์ย่อย Hirundininae ซึ่งมีนกถึง 20 สกุล รวม 80 ชนิด ส่วนอีกวงศ์ย่อยหนึ่ง คือ Pseudochelidoninae ในวงศ์ย่อยนี้มีนกอยู่สกุลเดียวและชนิดเดียว คือ นกนางแอ่นเทียมคองโก African River Martin (Pseudochelidon eurystomina) ซึ่งพบเฉพาะในลุ่มน้ำคองโก แคว้น Gaboon ประเทศคองโก ทวีปแอฟริกาเท่านั้น

หลังจากได้คำยืนยันจาก Dr. K.C. Emerson แล้วว่านกพบใหม่นี้เป็นนกในวงศ์นกนางแอ่น นายกิตติจึงได้เริ่มทำการศึกษานกชนิดนี้อย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับ Dr. Joe T. Marshall ทำการชำแหละและศึกษาอวัยวะภายในของนก พบว่าหลอดคอของนกตัวนี้ ไม่เหมือนกับหลอดคอของนกในวงศ์ย่อย Hirundininae แต่กลับเหมือนกับหลอดคอของนกในวงศ์ย่อย Pseudochelidoninae ดังนั้น เขาจึงได้ส่งตัวอย่างนกไปยังสถาบันสมิธโซเนียน (Smithsonian Institute) และ American Museum of Natural History สหรัฐอเมริกา และ British Museum of Natural History ประเทศอังกฤษ แห่งละ 1 ตัว เพื่อให้นักปักษีวิทยา ที่มีความเชี่ยวชาญของสถาบันเหล่านั้นเหล่านั้น ช่วยตรวจสอบอีกทีหนึ่ง พร้อมทั้งขอตัวอย่างนก Pseudochelidon eurystomina และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อตรวจสอบดูแล้วจึงแน่ใจว่า นกที่พบใหม่ที่บึงบอระเพ็ดนี้ เป็นนกในวงศ์ Pseudochelidoninae

ลักษณะโดยทั่วไป:
นกชนิดนี้ มีลักษณะโดยทั่วๆ ไปคล้ายนกนางแอ่น (Swallows) แต่มีขนาดใหญ่กว่า มีความยาวตัว 15 ซม. ตัวสีดำเหลือบน้ำเงินเข้ม ใต้คอสีน้ำตาลดำ หน้าผากมีขนสีดำคล้ายกำมะหยี่ ขาและแข้งเป็นสีชมพู จุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือ มีขอบตาสีขาวเป็นวงรอบตาเห็นได้ชัดเจน ทำให้เห็นเหมือนว่าตาของมันพองโปนขึ้นมา ชาวบ้านแถบนี้จึงเรียกนกชนิดนี้ว่า “นกตาพอง” บริเวณสะโพกมีแถบสีขาวขนาดใหญ่เด่นชัด และในขณะที่นกนางแอ่นมีขนหางยาวแฉกลึกนั้น นกชนิดนี้จะมีหางสั้นกลมมน นกที่โตเต็มที่แล้ว จะมีแกนหางคู่กลางเส้นเล็กๆ 2 เส้น ยื่นยาวออกมาประมาณ 8.5 ซม. คล้ายนกหางบ่วง แต่ปลายบ่วงมีขนาดเล็กมาก มีความกว้างประมาณ 2 มม. ยาวประมาณ 35 มม. ปากของนกมีลักษณะแบนกว้างกว่าปากของนกนางแอ่นมาก อย่างไรก็ตาม นกที่พบใหม่นี้ เมื่อได้ตรวจดูและเปรียบเทียบกับนกนางแอ่นพันธุ์คองโก ทั้งลักษณะภายนอกและภายในโดยละเอียดแล้ว นายกิตติยังพบว่า ยังมีลักษณะหลายอย่างที่แตกต่างกันอยู่ (ตารางที่ 1 และภาพที่ 1) เมื่อได้ทราบผลแน่ชัดดังนี้แล้ว นายกิตติจึงได้มั่นใจว่านกที่เขาพบนี้ จะต้องเป็นนกชนิดใหม่ของโลกอย่างแน่นอน

ตารางที่ 1 ลักษณะความแตกต่างภายนอกระหว่างนกนางแอ่นเทียมคองโก และนกเจ้าฟ้าฯ

ลักษณะของนก นกนางแอ่นเทียมคองโก นกเจ้าฟ้าฯ
สีขน ดำ ดำเหลือบเขียว
สีปาก แดง เหลืองอมแดง
ลักษณะปาก แบนกว้างแต่แคบกว่านกเจ้าฟ้าฯ แบนกว้างกว่านกนางแอ่นเทียมคองโก 1 เท่า
ตา แดง ตาและขอบตาสีขาวสะอาด
สะโพก ดำ มีแถบขาวขนาดใหญ่
หาง กลมมน ขนหางคู่กลางโผล่ออกมาจากปลายหางเล็กน้อย แทบมองไม่เห็น กลมมน ขนหางคู่กลางเป็นเส้นเล็กๆ โผล่ออกมาประมาณ 8.5 ซม. ปลายขนหางมีลักษณะเป็นหางบ่วง แต่มีขนาดเล็กมาก

ภาพที่ 1 แสดงลักษณะความแตกต่างภายนอกของนกนางแอ่นเทียมคองโก กับนกเจ้าฟ้าฯ

ตามหลักสากลโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ผู้ที่ค้นพบพืชหรือสัตว์ชนิดใหม่ของโลก จะเป็นผู้มีสิทธิ์ตั้งชื่อพืชและสัตว์เหล่านั้นได้ นายกิตติ ทองลงยา ผู้ค้นพบนกชนิดใหม่ มีความภูมิใจในการค้นพบครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เขามีความเห็นว่า นกชนิดนี้ควรจะมีชื่อเป็นแบบไทย ๆ และเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแก่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา ฯ เนื่องจากพระองค์ทรงสนพระทัยในเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติวิทยามาก จะเห็นได้จากพระองค์เคยทรงพระราชนิพนธ์ และเสด็จออกไปศึกษาธรรมชาติตามอุทยานต่างๆ เสมอ นายกิตติ จึงได้นำความเสนอต่อคณะกรรมการของสถาบันวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ฯ (ชื่อในขณะนั้น) ขอให้นำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระนามของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา ฯ เพื่อนำมาตั้งชื่อนกชนิดใหม่นี้ และก็ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตในปี พ.ศ. 2511 ตั้งแต่นั้นมา นกชนิดใหม่นี้จึงได้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudochelidon sirintarae มีชื่อภาษาไทยว่า นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ตามพระนามของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา ฯ สำหรับชื่อสามัญนั้น เรียกตามลักษณะที่ปรากฏ คือ White-eyed River Martin หรือเรียกสั้นๆ ว่า นกเจ้าฟ้าฯ

สถานภาพของนกเจ้าฟ้าฯ ในปัจจุบัน:
หลังจากการค้นพบนกเจ้าฟ้าฯ ได้เป็นข่าวรู้กันอย่างแพร่หลายแล้ว ทุกๆ ปีในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ ได้มีนักปักษีวิทยาหลายคณะเดินทางไปยังบึงบอระเพ็ด โดยหวังเพียงเพื่อที่จะได้เห็นนกเจ้าฟ้า ฯ สักครั้งหนึ่ง แต่เป็นความหวังที่ยากยิ่ง จนกระทั่งถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 ได้มีผู้โชคดี 2 ท่าน คือ Mr. Ben King นักปักษีวิทยาจากสหรัฐอเมริกา และนายสุประดิษฐ์ กัณห์วานิช จากชมรมดูนกกรุงเทพฯ ได้เห็นนกซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นนกเจ้าฟ้าฯ 6 ตัว กำลังบินเรี่ยๆ อยู่ในบึง มุ่งหน้า ไปทางดงหญ้า ซึ่งเป็นที่อาศัยหลับนอน และในเดือนมกราคม พ.ศ. 2523 Mr. David Ogale ได้รายงานการพบนกเจ้าฟ้าฯ อีก 4 ตัว กำลังเกาะอยู่บนต้นไม้ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นนกเจ้าฟ้าฯ อีกเลย

ก่อนที่นายกิตติจะค้นพบนกเจ้าฟ้าฯ นั้น ชาวบ้านบริเวณบึงบอระเพ็ดได้รู้จักนกชนิดนี้มาก่อนแล้ว เขาเรียกนกชนิดนี้ว่า “นกตาพอง” ตามลักษณะตาของนกที่มีวงตาสีขาวเห็นเด่นชัด ดังนั้นจึงพอสันนิษฐานได้ว่า นกเจ้าฟ้าฯ ได้มาอาศัยที่บึงบอระเพ็ดก่อนหน้านี้แล้ว และคงจะถูกชาวบ้านจับขายรวมกันไปกับนกนางแอ่นชนิดอื่นๆ โดยที่ผู้ซื้อไม่ได้สนใจมากนัก และอาจจะเนื่องจากผู้ซื้อไม่ได้มีความรู้ในการจำแนกชนิดของนกก็ได้

นกเจ้าฟ้าฯ ที่บึงบอระเพ็ดนั้น มีรายงานการพบเฉพาะเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์เท่านั้น แต่ชาวบ้านที่มีอาชีพจับนกมาขายบอกว่า เขาเคยพบนกชนิดนี้ตั้งแต่เดือนตุลาคม แสดงว่านกชนิดนี้ได้พากันมาใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาวที่นี่ โดยมีแหล่งเกาะนอนรวมกันอยู่กับนกนางแอ่นอื่นๆ ตามกอหญ้า กอพงในบึงบอระเพ็ด สำหรับข้อมูลทางด้านชีววิทยาของนกเจ้าฟ้าฯ นั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากประชากรของนกในธรรมชาติมีเหลืออยู่น้อยมาก จนไม่สามารถติดตามศึกษาได้ ทราบแต่ว่า นกนางแอ่นเทียมคองโกนั้น จะสร้างรังในช่วงฤดูแล้งระหว่างเดือนธันวาคม - เมษายน ทำรังโดยการขุดรูตามพื้นทรายบนเกาะกลางน้ำ รังลึกประมาณ 1-2 เมตร วางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง จึงคาดว่า นกเจ้าฟ้าฯ ของเรานั้นน่าจะทำรังโดยการขุดรูตามริมฝั่งหรือบนเกาะกลางแม่น้ำ ตามต้นแม่น้ำสำคัญหลายสาย เช่น ปิง วัง ยม น่าน หรืออาจจะเลยไปถึงแม่นั้นโขงในประเทศเขมรก็ได้ แต่ก็ยังไม่ได้มีการค้นหากันอย่างจริงจัง

นกเจ้าฟ้าฯ เป็นนกเฉพาะถิ่น (Endermic species) ที่พบได้เพียงแห่งเดียวในโลก คือที่บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ เป็นนกโบราณที่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้น้อย จึงมีเหลืออยู่ในธรรมชาติน้อยมาก มีรายงานการค้นพบที่สามารถยืนยันได้เพียง 10 ตัวเท่านั้น และจากรายงานการพบเห็นครั้งหลังสุด ในปี พ.ศ. 2523 จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีรายงานการพบอีกเลย และจากการจัดให้มีการประชุมของสำนักนโยบาย และแผนสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง สถานภาพทรัพยากรชีวภาพของประเทศไทย โดยกลุ่มนักชีววิทยาในประเทศไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2539 นั้น นกเจ้าฟ้าฯ ได้ถูกจัดให้อยู่ในสถานภาพใกล้จะสูญพันธุ์อย่างยิ่ง (critical endangered)

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ยังมีนกเจ้าฟ้าฯ หลงเหลืออยู่ หรือว่าได้สูญพันธุ์หมดสิ้นไปจากโลกนี้แล้ว เพราะหลังจากการพบครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2523 จนกระทั่งปัจจุบัน (พ.ศ. 2546) นับเป็นเวลาร่วม 20 ปีมาแล้ว ที่เราไม่ได้เห็นนกเจ้าฟ้าฯ อีกเลย

บรรณานุกรม

  • พรทิพย์ อังคปรีชาเศรษฐ์, 2546. หนังสือนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย.